วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"สมัคร"ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคมะเร็ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โดยอาการของนายสมัครได้ทรุดหนัก วันที่ 23 พฤศจิกายน แพทย์ได้นำเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู แต่อาการไม่ดีขึ้น ที่สุดถึงแก่อนิจกรรมด้วยวัย 74 ปี
ขณะเดียวกันญาติได้เตรียมนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามพร้อมจะจัดให้มีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ วันที่ 25 พฤศจิกายน
ทั้งนี้นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของประเทศไทย เข้ารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์หลังจากได้เดินทางไปรักษาโรคมะเร็งที่ขั้วตับ ที่ลอส แองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และกลับมาเมืองไทย วันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2552 โดยเมื่อนายสมัคร เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา ก็พักฟื้นที่บ้านพักมาตลอดและไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเลย และไม่มีข่าวความเคลื่อนไหว หรือการรักษาตัวแต่อย่างใด ก่อนเข้ารักษาตัวโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในเวลาต่อ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เตือนภัย เหน็บมือถือกับเอวเป็นโทษ



เตือนผู้ที่เหน็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่เอว อาจจะสนใจบ้าง เมื่อมีข่าวว่ารังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของมัน ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกแถวสะโพก มักเอาไปใช้ในการปลูกถ่ายกระดูกอยู่เสมอ ให้บางลงได้


คณะนักวิจัยของ ดร.ทอลกา อาทาย มหาวิทยาลัย สุไลมาน เดมิเรล ของตุรกี ได้พบว่า การโดนถูกสนามรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กระดูกบางลงได้ ซึ่งอาจจะกระทบถึงผลของการทำศัลยกรรมปลูกถ่ายกระดูก

นักวิจัยได้ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกตรงปีกสะโพกทั้ง 2 ปีก ของผู้ที่เหน็บโทรศัพท์อยู่กับเข็มขัด จำนวน 150 คน เปรียบเทียบกัน บุคคลเหล่านี้ต่างพกโทรศัพท์กับตัวอยู่นานวันละ 15 ชม. และใช้มานานเฉลี่ยคนละ 6 ปีแล้ว ได้ผลว่ากระดูกปีกสะโพกข้างที่เหน็บโทรศัพท์อยู่เป็นประจำ มีความบางลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่มากเท่าขนาดที่เห็นในผู้เป็นโรคกระดูกพรุน แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนเหล่านั้นยังเพิ่งมีอายุเฉลี่ย 32 ปี ด้วยกัน ความหนาแน่นของกระดูกอาจจะลดน้อยลงไปอีกได้


กระดูกบริเวณนั้น มักจะถูกใช้ในการผ่าตัดปลูกถ่ายกระดูกอยู่ประจำ ดังนั้นหากคุณสมบัติเสื่อมลง ก็อาจจะเกิดผลเสียกับการผ่าตัดฟื้นฟูให้กลับคืนสภาพได้

คณะนักวิจัยบอกสรุปความเห็นว่า "ถึงจะอย่างไร ควรจะเอาโทรศัพท์มือถือให้ห่างตัวเราไว้ในชีวิตประจำวันจะดีกว่า"





เตือน“ผักชี” มียาฆ่าแมลงปนเปื้อนมากสุด



สธ.เผยผลการตรวจสอบสารปนเปื้อน 6 ชนิดในอาหารสด รอบ 9 เดือน พบร้อยละ 99 ผ่านเกณฑ์ไร้การปนเปื้อน ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ตรวจพบยาฆ่าแมลงในผักชีมากที่สุด



นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากร้านอาหารมีจำนวนมาก และขณะนี้ตามชนบทมักนิยมจัดตลาดนัด มีสินค้าต่างๆ จำนวนมากราคาค่อนข้างต่ำ บางครั้งมองตาเปล่าไม่รู้ว่าอาหารมีความปลอดภัยหรือไม่ เพื่อร่วมกันรณรงค์คุ้มครองประชาชนให้ได้บริโภคอาหารปลอดภัยและมีสุขภาพดี กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำ "โครงการรณรงค์ทำดีเพื่อแม่ อาหารปลอดภัย" เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยเรื่องความปลอดภัยอาหาร
ทั้งยังทรงปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่างในการเสวย โดยจัดทำไปรษณียบัตร 1 ล้านฉบับ ส่งไปยังที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่ง ให้ผู้ประกอบการอาหารและประชาชน ร่วมเขียนบันทึกกิจกรรมการทำความดี แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสุขภาพและความปลอดภัยผู้บริโภคในไปรษณียบัตร และส่งกลับไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา หลังจากนั้นจะรวบรวมรายชื่อ พร้อมผลการดำเนินงานเฝ้าระวังอาหารปลอดภัย ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จแม่แห่งแผ่นดิน ในวันที่ 12 สิงหาคม 2552



ด้านนายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงผลการตรวจสอบสารปนเปื้อนอันตราย 6 ชนิดในอาหารสด ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง บอแรกซ์ สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน สารกันรา และยาฆ่าแมลง โดยหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ตุลาคม 2550-มิถุนายน 2551 ได้ตรวจตัวอย่างทั้งหมด 56,425 ตัวอย่าง พบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 99.25 ไม่ผ่านเกณฑ์ 421 ตัวอย่าง โดยตรวจพบยาฆ่าแมลง 352 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นผักสด พบมากที่สุดในผักชี จำนวน 47 ตัวอย่าง รองลงมาคือพริกชี้ฟ้าแดง 24 ตัวอย่าง พริกเหลือง 16 ตัวอย่าง พริกขี้หนูแดงใหญ่ 13 ตัวอย่างและยังตรวจพบในกุ้งแห้ง หมึกกะตอย ปลาอินทรีย์เค็ม ปลาแดดเดียวเช่น ปลาสลิด ปลาสละ ปลานิล อย่างละ 1-2 ตัวอย่าง



นอกจากนี้ยังตรวจพบสารบอแรกซ์ 56 ตัวอย่าง พบมากที่สุดในเนื้อหมู 10 ตัวอย่าง เนื้อหมูบด 6 ตัวอย่าง ที่เหลือพบในเนื้อปูแกะ ปลาดุกย่าง ขนมถ้วยแคระ ตรวจพบฟอร์มาลิน 8 ตัวอย่างในหมึกแช่ด่าง ปลาหมึกกล้วย ขิงอ่อนซอย ส่วนสารเร่งเนื้อแดงพบ 4 ตัวอย่างในเนื้อหมูทั้งหมด และสารกันรา 1 ตัวอย่าง พบในพริกแกงเขียวหวาน ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจัดการแก้ไขถึงแหล่งผลิตแล้วว



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านหนังสือประเภทต่างๆ

วันนี้มีเทคนิคในการอ่านหนังสือแต่ละประเภทมาแนะนำให้เลือกใช้กันค่ะ เพื่อให้การอ่านหนังสือมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น

วิทยาศาสตร์: ไม่ควรอ่านตะลุยเรื่อยๆ รวดเดียวจบเล่มควรอ่าน แล้วหยุดพักเป็นตอนๆไปเรื่อยๆ


คณิตศาสตร์: ไม่ควรอ่านตะลุยเรื่อยๆ รวดเดียวจบเล่มควรอ่าน แล้วหยุดพักเป็นตอนๆไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์



ภูมิศาสตร์ : ควรอ่านตะลุยรวดเดียวไปจนจบเพื่อให้เรื่องราวสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน



วรรณคดี : อ่านอย่างรอบคอบถี่ถ้วน อ่านช้าๆไม่รีบเร่งปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามคําบรรยาย ถ้าอ่านเพื่อศึกษาควร มีการวิเคราะห์เรื่องราว บทบาทของตัวละครตลอดจนส่วนอื่นๆของวรรณคดี นิตยสารและหนังสือพิมพ์ ควรใช้วิจารณญาน พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ เชื่อทุกอย่างตามที่ข่าวรายงานใครชอบอ่าน



หนังสือประเภทไหนก็ลองนำเทคนิคข้างบนไปใช้กันดูนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

+ ภาษาไทย +

ภาษาไทย เป็นภาษาราชการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับ ตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ เป็นที่ลำบากของชาวต่างชาติเนื่องจาก การออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคำ และการสะกดคำที่ซับซ้อน นอกจากภาษากลางแล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

6 จุดเสี่ยง ในที่สาธารณะ




รับมือโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาด ด้วยการรู้จักจุดเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรค จากคู่มือ "รวมพลังสู้หวัด" ของ สสส.ทั้ง 6 จุด...


เมื่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธการเดินทางไปยังที่ต่างๆได้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราควรจะทราบไว้ว่า ตรงไหนของพื้นที่สาธารณะที่เป็นจุดเสี่ยงให้เรามีโอกาสสัมผัสเชื้อโรค เมื่อไปสัมผัสเข้าจะได้รีบล้างมือลดการติดเชื้อโดยเร็วไว


คู่มือ "รวมพลังสู้หวัด" ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมข้อมูลสำคัญเอาไว้ ได้บอกถึง 6 จุดเสี่ยงในพื้นที่สาธารณะ ว่ามีดังต่อไปนี้


1. ลูกบิดประตู เพราะมีคนจับลูกบิดประตูเพื่อผ่านเข้าออกวันละนับไม่ถ้วน เชื้อโรคจำนวนมหาศาลจะเกาะติดอยู่ที่ลูกบิด ทางที่ดีควรล้างมือหลังสัมผัส จะลดความเสี่ยงได้แน่นอน


2. ก้านชักโครก เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราต้องเอามือไปสัมผัสหลังทำธุระเสร็จแล้ว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


3. ปุ่มกดลิฟต์ วันหนึ่งๆมีคนใช้ลิฟต์ขึ้นลงอาคารไม่รู้ตั้งเท่าไร จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีใครเอาเชื้อโรคมาแปะไว้ตามปุ่มกดชั้นต่างๆ


4. ราวบันได เป็นแหล่งรวมเชื้อโรคมากมายอีกที่หนึ่งที่ไม่ควรประมาท เวลาคนขึ้นลงบันไดก็ต้องจับเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราวบันไดตามห้างสรรพสินค้าคนจับกันวันหนึ่งเป็นพันๆ


5. ก๊อกน้ำ อันนี้ก็หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะเมื่อคนล้างมือแล้วก็ต้องปิดก๊อกน้ำ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องล้างก๊อกน้ำอีกที หรือใช้ทิชชูเช็ดก่อนปิดก็ช่วยได้ดีเหมือนกัน


6. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตามร้านเกมและอินเตอร์เน็ตมีคนมาใช้บริการกันมาก ถ้าจำเป็นต้องใช้ อย่าลืมล้างมือก่อนและหลังใช้งาน และพยายามหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก


สำหรับการล้างมือนั้น จะใช้ สบู่ ก้อน สบู่เหลว หรือเจลล้างมือก็ให้ผลฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกัน เจลล้างมือราคาแพงแต่ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ น้อยกว่า 60-80% ยังสู้น้ำสะอาดกับสบู่ ก้อนหรือสบู่เหลวไม่ได้เลย ถ้ากลัวเชื้อโรคจะตกค้างบนสบู่ก้อนให้เข้าใจใหม่ว่ามันไม่สามารถเกาะอยู่บนพื้นผิวของสบู่ก้อนและฟองของสบู่ได้


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

- วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ -


ทราบหรือไม่ว่า ยาแต่ละชนิดจะเสื่อมคุณภาพเมื่อไหร่
วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ
- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม
- ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก
- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป
- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว
- ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป
วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน
ครั้งหน้าถ้าจะรับประทานยา อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุก่อนรับประทานยากันด้วย

+ คุณค่าประโยชน์ของกล้วย +


กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้

1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น Rerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

+ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด +

สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด

สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เราก้อคิดอยู่ว่าเราก้อต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน คนๆนั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน เราก้อมักจะเห็นแค่ว่าใครคนนึงกำลังทำอะไรที่ดูงี่เง่า น่ารำคาญ จนวันนึงถ้าเราสูญเสียไป เราก้ออาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม หรือบางทีเราก้ออาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึง ความรู้สึกของคนที่ให้อยู่บ้าง บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ เหมือนความรักของพ่อแม่ เหมือนความรักของเพื่อนสนิทของคุณ เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอรึยัง คุณให้ความสำคัญกับคนถูกหรือเปล่า คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่าความรู้สึกที่ดีหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตา แต่ต้องมองด้วยหัวใจ แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน เรามองดูความรวยความจนของคนที่สิ่งของที่เขาใช้ เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา แล้วเราก้อตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 นาที เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น แต่ถ้าลองมองย้อนดู ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว เพราะเมื่อวันนึงถ้าต่างคนต่างไป เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี เราจะได้ไม่รู้สึกผิดว่า เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

+ คลีโอพัตรา +

คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ (Κλεοπάτρα θεά φιλοπάτωρ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา เกิดในเดือนมกราคม 69 ปีก่อนคริสตกาล - เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 30 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย ดังนั้น จึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ"คลีโอพัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของพระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้เป็นที่รักของบิดา" พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้
ในปัจจุบัน คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับได้ว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้นๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อนๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกับพระนางถูกลืมไปสิ้น จริงๆ แล้วพระนางไม่เคยปกครองอียิปต์ตามลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา พระอนุชา พระอนุชา - สวามี หรือไม่ก็พระโอรส แต่อย่างไรก็ดี การครองราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ผู้ให้กำเนิดคณะนิเทศศาสตร์ :ศาสตราจารย์ บำรุงสุข สีหอำไพ
ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ เป็นผู้บุกเบิกการเรียนการสอนของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้ง "แผนกอิสระสื่อสารมวลชน และการประชาสัมพันธ์" โดยแรกเริ่มทำหน้าที่เป็นเลขานุการแผนกอิสระฯ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2513 ผู้ช่วยศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์จนถึงปี พ.ศ. 2517 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นศาสตราจารย์ และได้รับแต่งตั้งจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2522 จากนั้นท่านรับราชการมาจนเกษียณอายุราชการปี พ.ศ. 2535
ศาสตราจารย์บำรุงสุขเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงาน คณะนิเทศศาสตร์เปรียบเสมือน "บ้าน" ที่ท่านเพียรก่อสร้างรากฐาน เพื่อให้บ้านน้อยหลังนี้มีความมั่นคงมากที่สุด โดยในปีการศึกษา 2508 อันเป็นปีที่แผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ก่อตั้งขึ้นมานั้น ท่านได้ร่างหลักสูตรการเรียนการสอนที่รวบรวมอาจารย์ชื่อดังในสาขาวิชานั้นๆมาประสิทธิประสาทวิชาความรู้แก่นิสิต
ท่านจึงเป็นเสมือน "พระผู้สร้าง" อย่างแท้จริงที่ชาวนิเทศศาสตร์พึงรำลึกถึงอยู่เสมอ ภายหลังการถึงแก่กรรมของศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ได้ก่อตั้ง "มูลนิธิบำรุงสุข สีหอำไพ" เพื่อเป็นการรำลึกถึงครูผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ โดยมีเป้าหมายให้มูลนิธิเป็นองค์กรสำคัญในการพัฒนาวิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์แก่สังคมสนับสนุนงานวิจัยต่างๆ
ผู้ให้กำเนิดคณะนิเทศศาสตร์ :ศาสตราจารย์ บำรุงสุข สีหอำไพ
ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ เป็นผู้บุกเบิกการเรียนการสอนของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้ง "แผนกอิสระสื่อสารมวลชน และการประชาสัมพันธ์" โดยแรกเริ่มทำหน้าที่เป็นเลขานุการแผนกอิสระฯ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2513 ผู้ช่วยศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์จนถึงปี พ.ศ. 2517 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นศาสตราจารย์ และได้รับแต่งตั้งจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2522 จากนั้นท่านรับราชการมาจนเกษียณอายุราชการปี พ.ศ. 2535
ศาสตราจารย์บำรุงสุขเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงาน คณะนิเทศศาสตร์เปรียบเสมือน "บ้าน" ที่ท่านเพียรก่อสร้างรากฐาน เพื่อให้บ้านน้อยหลังนี้มีความมั่นคงมากที่สุด โดยในปีการศึกษา 2508 อันเป็นปีที่แผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ก่อตั้งขึ้นมานั้น ท่านได้ร่างหลักสูตรการเรียนการสอนที่รวบรวมอาจารย์ชื่อดังในสาขาวิชานั้นๆมาประสิทธิประสาทวิชาความรู้แก่นิสิต
ท่านจึงเป็นเสมือน "พระผู้สร้าง" อย่างแท้จริงที่ชาวนิเทศศาสตร์พึงรำลึกถึงอยู่เสมอ ภายหลังการถึงแก่กรรมของศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ได้ก่อตั้ง "มูลนิธิบำรุงสุข สีหอำไพ" เพื่อเป็นการรำลึกถึงครูผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ โดยมีเป้าหมายให้มูลนิธิเป็นองค์กรสำคัญในการพัฒนาวิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์แก่สังคมสนับสนุนงานวิจัยต่างๆ
พระบิดาแห่งนิเทศศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นจอมปราชญ์ รอบรู้ศิลปะวิทยาทุกด้าน ทรงได้รับยกย่อง ในฐานะผู้ริเริ่มนำวิทยาการสมัยใหม่ มาสู่คนไทย และได้ทรงปรับเปลี่ยนพิธีการต่างๆเพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า พระองค์ทรงสนพระทัยด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ การใช้การสื่อสารในหลายช่องทาง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ชาติไทยรอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก พระองค์ทรงใช้กุศโลบายทางด้านการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารโน้มน้าวใจให้ประเทศตะวันตกเชื่อถือในตัวพระองค์ และสยามประเทศ ว่าเป็นประเทศที่มีอารยธรรมเจริญ รุ่งเรืองมาช้านานมีวัฒนธรรม ที่ดีงามและสามารถปรับตัว เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้ พระองค์ได้เล็งเห็นความสำคัญ ของภาษาอังกฤษได้สนับสนุน ให้พระราชโอรสและพระราชธิดาได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่จะรู้เท่าทันชาติตะวันตก และเป็นสื่อทางวัฒนธรรมที่สำคัญ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้เปิดการสื่อสารระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับราษฎร โดยทำเป็นประกาศต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน อันเป็นการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารไปจากดั้งเดิม
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเห็นสมควรที่จะจัดวันเทิด พระเกียรติพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นในวันที่ 18 ตุลาคมของทุกปีซึ่งตรงกับวันพระราชสมภพ ในฐานะที่พระองค์ ได้ทรงริเริ่มวิชาการทางนิเทศศาสตร์ไทย โดยเฉพาะทางด้านการพิมพ์ พระองค์เปรียบดั่ง "บิดาแห่งนิเทศศาสตร์ไทย" ที่ทำให้วิชาการทางนิเทศศาสตร์ไทยเจิญงอกงามรุ่งเรืองมาตราบเท่าทุกวันนี้
ประวัติคณะนิเทศจุฬาฯ โดยสังเขป

คณะนิเทศศาสตร์เป็นคณะหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่บริเวณริมถนนพญาไท เปิดทำการสอนครั้งแรกตั้งแต่ปีการศึกษา 2508 เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อว่า “แผนกอิสระสื่อสารมวลชน และการประชาสัมพันธ์” ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 ได้มีพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเป็น “คณะนิเทศศาสตร์”
ปัจจุบันคณะนิเทศศาสตร์มีอาคารเรียน 2 หลัง มีห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ ห้องปฏิบัติการในการผลิตสื่อต่าง ๆ ตลอดจนอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย มีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิกว่า 70 ท่าน มีนิสิตที่ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาบัณฑิต และบัณฑิตศึกษาประมาณ 1,200
คนทุกปีจะมีผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ ระดับปริญญาบัณฑิตหลักสูตรภาษาไทย ประมาณปีละ 150 คน หลักสูตรภาษาอังกฤษ สาขาวิชาการจัดการการสื่อสาร ประมาณปีละ 100 คน และระดับบัณฑิตศึกษาประมาณปีละ 235

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

+ แอร์บัส A380 +

เครื่องบิน แอร์บัส A380 เป็นเครื่องบินห้องโดยสารสองชั้นขนาดใหญ่ ผลิตโดยแอร์บัสแอสอาแอส เครื่องบินสี่เครื่องยนต์ลำนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 800 คน หรือ 500 คนถ้าวางที่นั่งแบบ 3 ชั้นผู้โดยสารตามเครื่องบินพาณิชย์ปกติ เครื่องบินรุ่นนี้ได้ผ่านกำหนดการทดสอบการบินเที่ยวแรกในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2548 โดยบินขึ้นจากเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส และได้ส่งมอบให้สิงคโปร์แอร์ไลน์เป็นสายการบินแรกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2550


แนะนำ
A380 รู้จักมาเป็นเวลาหลายปีในขณะที่มีแอร์บัสมีแผนการผลิต แอร์บัส A3XX โดยจะเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเริ่มให้บริการ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550
A380 ได้เปิดตัวในงานของเมืองตูลูสในฝรั่งเศสในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 หมายเลขอนุกรมของผู้ผลิต (MSN - Manufacturer's serial number) คือ 001 และรหัสทะเบียน F-WWOW


ข้อมูลทั่วไป
เครื่องบินแอร์บัสรุ่นใหม่นี้ ในเบื้องต้นจะผลิตขาย 2 แบบด้วยกัน คือA380-800 เป็นแบบ 2 ชั้นสมบูรณ์แบบ สามารถจุผู้โดยสารได้ 555 คน ในชั้นท่องเที่ยว หรือถึง 800 คน ในชั้นประหยัด ในระยะการบิน 8,000 ไมล์ทะเล (14,800 กิโลเมตร) และแบบA380-800F เป็นเครื่องบินสำหรับบรรทุกโดยเฉพาะ บรรทุกสัมภาระได้ 150 ตัน สำหรับพิสัยการบินระยะ 5,600 ไมล์ (10,400 กิโลเมตร



ราคา
ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่มีการประเมินราคาไว้ที่ 296 - 316 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจจะมีส่วนลดหากมีการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก


การส่งมอบ
การกำหนดการเดิมนั้น
สิงคโปร์แอร์ไลน์จะได้รับเครื่องบินแอร์บัส เอ380 เครื่องแรก ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2549 แควนตัสจะได้รับในช่วงต้นปีพ.ศ. 2550 และเอมิเรตส์จะได้รับก่อนปีพ.ศ. 2551 แต่เนื่องจากไม่สามารถผลิตได้ทันตามกำหนดการ ทำให้แอร์บัสต้องเลื่อนวันส่งมอบออกไป
จนในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แอร์บัสก็ประกาศเลื่อนการส่งมอบเป็นครั้งที่ 3 ทำให้คาดว่าจะสามารถส่งมองเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ให้กับสิงคโปร์แอร์ไลน์ ในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 และจะเพิ่มอัตราการผลิตให้ได้ 13 ลำในปีพ.ศ. 2551, 25 ลำ ในปีพ.ศ. 2552 และเต็มอัตราการผลิตที่ 45 ลำ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ส่วนเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นลูกค้าใหญ่ที่สุดของ เอ380 จะได้รับเครื่องบินลำแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 และผลจากการล่าช้าทำให้หลายสายการบินยกเลิกคำสั่งซื้อ และหันไปเลือกคู่แข่ง
โบอิง 747-8 สำหรับเครื่องบินโดยสาร และโบอิง 777F สำหรับเครื่องบินขนส่งสินค้า
สำหรับเครื่องบินลำแรกที่จะส่งมอบให้สิงคโปร์แอร์ไลน์นั้นได้ลงสีเป็นลายเครื่องของสิงคโปร์แอร์ไลน์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ประกาศว่าจะใช้ในเส้นทางบินระหว่าง
ลอนดอน และซิดนีย์ โดยผ่าน สิงคโปร์ เส้นทางการบินย่อของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ อาจครอบคลุม เส้นทาง สิงคโปร์ - ซานฟรานซิสโก โดยผ่าน ฮ่องกง และบินตรงไปยังปารีส และแฟรงค์เฟิร์ต ส่วนแควนตัส ก็ได้ประกาศเช่นกัน ว่าในตอนแรกจะใช้เครื่องบินนี้ บินในเส้นทางบิน ลอสแองเจิลลิส ไปซิดนีย์ แอร์บัสแถลงว่า ในที่สุดแล้ว ตนจะสามารถผลิตและส่งมอบเครื่องบินได้เดือนละ 4 ลำ
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองตูลูซ แอร์บัสได้ส่งมอบเครื่องบินแอร์บัส เอ 380-800 ลำแรก ให้กับสิงคโปร์แอร์ไลน์ ซึ่งจะเริ่มให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์เที่ยวแรกในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เส้นทาง สิงคโปร์-ซิดนีย์



การบินทดสอบสนามบินสุวรรณภูมิ
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ลำทดสอบหมายเลข F-WXXL เที่ยวบินที่ AIB 002 มีกำหนดมาบินทดสอบที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก ลงจอดเวลาประมาณ 13:00 น. และเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 7 ธันวาคม เวลาประมาณ 12:00 น
วันที่
1 กันยายน พ.ศ. 2550 เครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เที่ยวบินพิเศษ AIB-701 เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้โดยสารประกอบด้วยสื่อมวลชนและแขกรับเชิญ เพื่อเป็นการสาธิตการบินในทวีปเอเชียและประเทศไทย เกิดอุบัติเหตุขณะใช้รถลากจูงออกจากอาคารจอดเครื่องบิน ปลายปีกไปเฉี่ยวกับประตูโรงจอดเสียหายเล็กน้อย บริเวณใบส่งตัวรับลมปลายปีก หรือ วิงเล็ต วิศวกรตรวจสอบแล้วเห็นว่าอาจทำให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น แต่ไม่มีผลต่อความปลอดภัยระหว่างการบิน จึงถอดชิ้นส่วนนั้นออก และทำการบินไปจังหวัดเชียงใหม่ตามปกติ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

... มารยาทในห้องประชุม ...

นั่งนิ่งๆ
คนที่อยู่ไม่สุข ต้องเขย่าขาเอานิ้วเคาะโต๊ะ นั่งเฉยๆนิ่งๆไม่ได้นั้น เขาบอกว่า อาจเป็นการบ่งบอกถึงความตื่นเต้น หรือความรำคาญ ถ้าเป็นคนที่มีมารยาทแล้ว ก็น่าจะสามารถมีความสำรวมและควบคุมอารมณ์เหล่านี้ไว้ได้

กลิ่นปาก
ถ้าอยู่ในที่ประชุมที่บางครั้งมีความจำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนร่วมกัน เรื่องกลิ่นปากย่อมเป็นอะไรที่แย่มากๆ เพราะกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนามันจะติดอยู่ที่ไมค์ ซึ่งคนอื่นต้องใช้ร่วมกับคุณ ก่อนเข้าห้องประชุม น่าจะบ้วนปาก หรือไม่ก็หามิ้นท์หรือยาอมดับกลิ่นปาก

ห้องประชุมไม่ใช่ห้องอาหาร
เรื่องการเห็นห้องประชุมเป็นห้องอาหาร กินไม่หยุด หมดก็ขอเพิ่ม เราควรจะทานก็ในช่วงเวลาพัก ไม่ควรที่จะตะกละตะกลามจนเกินไป

เรื่องมารยามอื่นๆที่ไม่ควรลืม
-ต้องเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อนเข้าประชุม
-การปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ หรือ เราจะเปิดสั่นแต่มันอาจจะทำให้สั่นไปทั้งโต๊ะ
-การแคะเล็บ แคะฟัน ทาลิปสติก

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

+ ปรากฏการณ์โลกร้อน +

ปรากฏการณ์โลกร้อน หมายถึง การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา นับถึง พ.ศ. 2548 อากาศใกล้ผิวดินทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้น 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส ซึ่งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ของสหประชาชาติได้สรุปไว้ว่า “จากการสังเกตการณ์การเพิ่มอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 2490) ค่อนข้างแน่ชัดว่าเกิดจากการเพิ่มความเข้มของแก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลในรูปของปรากฏการณ์เรือนกระจก” ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์และการระเบิดของภูเขาไฟ อาจส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมจนถึง พ.ศ. 2490 และมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการลดอุณหภูมิหลังจากปี 2490 เป็นต้นมา
ข้อสรุปพื้นฐานดังกล่าวนี้ได้รับการรับรองโดยสมาคมและสถาบันการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยกว่า 30 แห่ง รวมทั้งราชสมาคมทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญของประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ แม้นักวิทยาศาสตร์บางคนจะมีความเห็นโต้แย้งกับข้อสรุปของ IPCC อยู่บ้าง แต่เสียงส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลกโดยตรงเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้
แบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศที่สรุปโดย IPCC บ่งชี้ว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยที่ผิวโลกจะเพิ่มขึ้น 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2544–2643) ค่าตัวเลขดังกล่าวได้มาจากการจำลองสถานการณ์แบบต่างๆ ของการแผ่ขยายแก๊สเรือนกระจกในอนาคต รวมถึงการจำลองค่าความไวภูมิอากาศอีกหลากหลายรูปแบบ แม้การศึกษาเกือบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ช่วงเวลาถึงเพียงปี พ.ศ. 2643 แต่ความร้อนจะยังคงเพิ่มขึ้นและระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีกหลายสหัสวรรษ แม้ว่าระดับของแก๊สเรือนกระจกจะเข้าสู่ภาวะเสถียรแล้วก็ตาม การที่อุณหภูมิและระดับน้ำทะเลเข้าสู่สภาวะดุลยภาพได้ช้าเป็นเหตุมาจากความจุความร้อนของน้ำในมหาสมุทรซึ่งมีค่าสูงมาก
การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศสุดโต่ง (extreme weather) ที่รุนแรงมากขึ้น ปริมาณและรูปแบบการเกิดหยาดน้ำฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบอื่นๆ ของปรากฏการณ์โลกร้อนได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร การเคลื่อนถอยของธารน้ำแข็ง การสูญพันธุ์พืช-สัตว์ต่างๆ รวมทั้งการกลายพันธุ์และแพร่ขยายโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ได้แก่ปริมาณของความร้อนที่คาดว่าจะเพิ่มในอนาคต ผลของความร้อนที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบอื่นๆ ที่จะเกิดกับแต่ละภูมิภาคบนโลกว่าจะแตกต่างกันอย่างไร รัฐบาลของประเทศต่างๆ แทบทุกประเทศได้ลงนามและให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต ซึ่งมุ่งประเด็นไปที่การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก แต่ยังคงมีการโต้เถียงกันทางการเมืองและการโต้วาทีสาธารณะไปทั่วทั้งโลกเกี่ยวกับมาตรการว่าควรเป็นอย่างไร จึงจะลดหรือย้อนกลับความร้อนที่เพิ่มขึ้นของโลกในอนาคต หรือจะปรับตัวกันอย่างไรต่อผลกระทบของปรากฏการณ์โลกร้อนที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

... หญิง ...


1. เวลาผู้หญิงเข้าห้องน้ำ จะเปิดซิปกระโปรงหรือถลกเอา?

ตอบ : แล้วแต่สะดวก แต่ส่วนมากถลก
2. ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวเป็นคนเรียบร้อยใช่ไหม?

ตอบ : ไม่เสมอไป อาจเป็นแฟชั่น

3. มีเสื้อผ้าเต็มตู้ จนไม่มีช่องว่างให้แมลงสาบหายใจ แต่ทำไมยังบอกว่าไม่มีอะไรจะใส่?

ตอบ : ก็หาที่ถูกใจกับอารมณ์วันนี้ยังไม่ได้ หรืออาจจะเรียกให้ดูดีหน่อย อาจจะบอกว่า เพื่อความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละวัน หรือว่าแฟชั่นช่วงนั้นๆ
4. ทำไมผู้หญิงต้องมุ่งมั่นเอากับการทำให้ผมตรงเรียบ แบบเอาเป็นเอาตายด้วย?

ตอบ : แล้วจะให้มันยุ่งทำไมละ

5. สวมร้องเท้าส้นสูงแหลมๆ ทำไมถึงทรงตัวได้?

ตอบ : เป็นพรสวรรค์ตั้งแต่ชาติก่อน
6. เจ้ามาสคาร่านะ มันจะทำให้คุณดูดีขึ้นเหรอ?

ตอบ : โคตรๆ ถ้ายาวทิ่มตาผู้ชายได้ จะแฮปสุดๆ
7. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เป็นโศกนาฏกรรมชีวิตเลยหรือ?

ตอบ : ไม่ใช่แค่น้าหนัก แต่รวมถึงเอว ตะโพก พุง ต้นแขน ต้นขา และรอบคอ
8. ต้องการอะไร ทำไมไม่พูดตรงๆ และทำไมต้องคิดว่าผู้ชายต้องเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าด้วย?

ตอบ : อ้าว ไม่รู้นี่ว่าผู้ชายไม่ฉลาด
9. เวลาคนอุ้มท้อง นอนหงายหรือนอนตะแคง?

ตอบ : ทั้งสองอย่าง แล้วแต่ความเมื่อย
10. ทำไมต้องเติมแป้งที่ใบหน้าอยู่ตลอดเวลา?

ตอบ : อยากสวย
11. เป็นโสดทำไม?

ตอบ : ที่หาได้ก็ไม่ดี ที่ดีๆ ก็หาไม่ได้

12. ผู้หญิงตายด้าน มีหรือเปล่า?

ตอบ : ผู้หญิงที่ตายด้านก็เพราะคำตอบข้อ 11 นั่นแหละ
13. ทำไมต้องมีร้องเท้าหลายสิบคู่ด้วย มันต่างกันยังไง?

ตอบ : ทำไมผู้ชายถึงชอบมีเมียที่ละหลายคน มันต่างกันยังไง
14. ทำไมฝีมือการขับรถของผู้หญิงไม่เป็นสับปะรดเอาซะเลย?

ตอบ : ก็เพิ่งรู้ตอนคุณถาม แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้เมาแล้วขับ เอ๊อๆๆๆ
15. ทำไมผู้หญิงชอบกินผลไม้ดอง?

ตอบ : แล้วทำไมผู้ชายชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่
16. เวลาคุณเสยผมแปลว่าเชิญชวนใช่ไหม?

ตอบ : ไม่ว่ากันถ้าจะคิดอย่างนั้น ขนาดผู้หญิงด่าคุณ ยังหาว่า ผู้หญิงชอบ
17. กระเป๋าสะพายราคาเป็นหมื่นๆ นั้น มันวิเศษยังไง?

ตอบ : แล้วสุราราคาแพงๆ ทำไมคุณบอกว่าอร่อยกว่าราคาถูก ทั้งๆ ที่ดื่มแล้วก็เมาเหมือนกัน
18. กลัวลิปสติกเลอะเวลากินข้าว แล้วทำไมต้องทาก่อนออกไปกินข้าวด้วย?

ตอบ : คำตอบเดียวกันกับ คุณรู้ว่าเที่ยวผู้หญิง นอกใจเมีย เสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ แล้วทำทำไม
19. ส้มตำเป็นยาอายุวัฒนะเหรอ?

ตอบ : ก็อยากผอม สวย และเอาใจผู้ชายอย่างคุณไง
20. ผู้หญิงสวมกระโปรงสั้น เพราะอยากอวดให้ผู้ชายเห็นเรียวขาหรือเปล่า?

ตอบ : ใช่ ไม่ได้แค่อวดกับผู้ชายนะกับผู้หญิง ถ้าฉันขาสวย ฉันก็อยากอวดพวกหล่อนด้วยเหมือน




วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

+ ปากกา +


กำเนิดปากกา
นอกจากตัวอักษรหรือตัวหนังสือซึ่งมนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาใช้แล้ว " เครื่องมือ " หรือ " อุปกรณ์ " ที่ใช้สำหรับการขีดเขียนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะกว่าที่เราจะเขียนหนังสือด้วย "ปากกา " หรือ " ดินสอ " ดังเช่นในปัจจุบันนี้ มนุษย์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการขีดเขียนเป็นเวลานานหลายพันปี
ในยุคอดีตมนุษย์อาจจะใช้นิ้วจุ่มดินหรือหินสี ที่บดเป็นผงผสมกับยางไม้ หรือกาวจากหนังสัตว์ ขีดเขียนบนผนังถ้ำหรือเพิงผา ต่อมาอาจใช้ ดิน หิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยการนำมาฝนหรือทำให้เป็นแท่งเพื่อความสะดวกในการขีดเขียน เช่น นำหินชนวนมาทำเป็นดินสอหิน สำหรับเขียนบนกระดานชนวน หรือการทำชอล์กจากผงแคลเซียมซัลเฟต จากเกลือจืด หรือยิปซัมผสมน้ำ แล้วทำให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการใช้งาน เช่นในปัจจุบันนี้

วิวัฒนาการของการเขียน
จากการเขียนบนฝาผนังถ้ำ นำมาสู่การเขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะ ตลอดถึงการเขียนบนใบไม้ (เขียนหรือจารคัมภีร์โบราณลงบนใบลาน) มาจนถึงการประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องมือและกรรมวิธีในการเขียนมาอย่างต่อเนื่อง
ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติแรกที่ใช้แปรงเขียนหนังสือบนแผ่นกระดาษที่ทำจากต้นปาปิรุส (papyrus) เป็นการเริ่มต้นวิธีการเขียนด้วยการปล่อยหมึกหรือสีบนแผ่นรองเขียน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือด้วยพู่กันของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแนวความคิดเบื้องต้นที่พัฒนาไปสู่การประดิษฐ์ปากกา
ชาวกรีกโบราณประดิษฐ์ปากกาขึ้นจากต้นกกไส้กลวง โดยการปาดให้มีปากหลายๆแบบ ทำให้เขียนเส้นได้หลายขนาด ปากกานี้ไม่ใช้หมึกแต่ใช้เขียนบนผิวไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งไว้ ทำให้เกิดรอยเป็นตัวอักษรบนผิวขี้ผึ้ง

ปากกาแพร่หลายในอังกฤษ
การนำวัสดุผิวเรียบมาเป็นสิ่งรองเขียนก่อให้เกิดการพัฒนา เครื่องเขียนที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการใช้สอย มนุษย์เริ่มนำขนนกหรือขนห่านมาทำเป็น ปากกา เรียกว่า ปากไก่สามารถเขียนได้คมชัดและเขียนติดต่อกันได้นาน
ในศตวรรษที่ 5 ปากไก่ เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเขียนหนังสือของชาวตะวันตก ในขณะที่ชาวตะวันออกยังนิยมใช้พู่กันไม้อยู่ แต่ทั้ง "ปากไก่" และ "พู่กัน" ไม่มีหมึกในตัวเอง ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่ใช้เขียนทำให้เขียนได้ไม่สะดวก
ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ ปากกา ที่มีปากเป็นโลหะและมีรอยผ่าตรงกลางปาก ทำให้เขียนได้นานโดยไม่ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน
ในประเทศอังกฤษมีการทำปากกาชนิดนี้ขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการผลิต ปากกา ที่ปลายปากทำด้วยวัสดุต่างๆกัน เช่น เขาสัตว์ เปลือกหอย เหล็กและทอง มีการผลิตกันมากขึ้นจนกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แข่งขันกันในเรื่องของความสวยงาม พร้อมกับประดิษฐ์กล่องและที่ใส่หมึกควบคู่ไปกับปากกาด้วย แม้ว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประดิษฐ์ปากกาที่มีหมึกในตัวเองได้

บิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม
ปี ค.ศ. 1884 Lewis Edson Waterman ได้ผลิตปากกาที่มีหมึกในตัว เรียกว่า ปากกาหมึกซึม (Fountain pen ) ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า Waterman เป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม มีการคิดค้นพัฒนาปากกาชนิดนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะดวกในการใช้งานและมีรูปทรงสวยงาม ผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน มีนักประดิษฐ์ปากกาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น George Parker, Walter A. Sheaffer เป็นต้น และได้ครอบครองความเป็นจ้าวแห่งเครื่องมือสำหรับการเขียนมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายสิบปี
ในปี ค.ศ. 1900 ปากกาหมึกซึม ได้พบคู่แข่งใหม่นั่นก็คือปากกาลูกลื่น ปากกาที่มีลูกกลิ้ง ( Ball ) กลมๆเล็กๆ อยู่ที่ปลายปาก เวลาเขียนลูกกลมๆเล็กๆนี้จะหมุน ( กลิ้ง ) ทำให้หมึกออกมาติดบนกระดาษ ปากกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยชาวอเมริกาชื่อ จอห์น เอช. ลาวด์ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขีดเขียนบนพื้นที่หยาบๆ ซึ่งไม่ใช่กระดาษ
ปลายปี ค.ศ. 1930 นักหนังสือพิมพ์และศิลปินชาวฮังกาเรียน ชื่อ ไบโร ได้ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่นขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไบโรได้เกิดแนวความคิดจากหมึกแห้ง ( Quick - drying ink ) ที่ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์นั้นใช้พิมพ์หนังสือ จึงคิดหาวิธีนำหมึกชนิดนี้มาบรรจุลงในปากกา โดยที่หมึกจะไม่ไหลและหยดออกมาจนเปื้อนกระดาษ ในที่สุดก็ประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกแห้งขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือ ปากกาลูกลื่น ( Ball - point pen ) สามารถใช้ขีดเขียนโดยไม่มีหมึกหยดและไหลเปรอะเปื้อนเหมือนปากกาหมึกซึมแบบเก่า

เส้นทางของปากกาลูกลื่น
ปี ค.ศ. 1938 ไบโรได้ทำการจดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ แต่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาก่อน เขาจึงได้หนีนาซีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส สเปน และเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา
ต้นปี ค.ศ. 1940 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ไบโรได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายซึ่งเป็นนักเคมีผลิตปากกาลูกลื่นออกจำหน่าย แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ เขาจึงขายลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับราชการทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในราคาไม่กี่เหรียญ ภายหลังลิขสิทธิ์ได้ถูกขายต่อให้กับบริษัท BIC ( ของฝรั่งเศส ) ทำการผลิตปากกาลูกลื่นยี่ห้อ BIC ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ในระหว่างปี ค.ศ. 1950 - 1980 สามารถจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านด้าม / วัน
ในขณะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงกลับไม่ประสบกับความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือความภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักและใช้ประโยชน์มาตราบเท่าทุกวันนี้

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

+ ความแตกต่างของคนสองคน +

ความแตกต่างของคนสองคน

ในวันนี้ .. ที่ที่ฉันยืนอยู่แตกต่างจากจุดที่เธอยืนอยู่มนุษย์แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วทั้งทางกายภาพ สถาพจิตใจ และการเลี้ยงดูฉันไม่อยากบอกว่าเธอแตกต่างจากฉัน เพราะคนเราไม่มีใครเหมือนกันซักคน"ก็ขนาดนิ้วห้านิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วจะให้คนเราเหมือนกันได้ยังไง"ในตอนนี้ความรู้สึกของเธอ .. ฉันไม่อาจรู้ได้ เพราะเธอไม่เคยบอกหรือถึงแม้เธอบอก .. ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักฉันรู้ดีในบางวัน ในบางครั้ง .. ฉันก็ทำให้เธอต้องหนักใจฉันรู้ ฉันผิด ฉันขอโทษมนุษย์เรามีสองด้าน .. "ด้านมืดและด้านสว่าง"อยู่ที่ว่าเธอจะเลือกมองด้านไหนด้านมืดมันอยู่กับเราเพียงไม่นานนัก .. เดี๋ยวก็มีความสว่างถ้าเธอเลือกที่จะมองแต่เพียงด้านมืด เธอจะมองไม่ค่อยเห็นอะไรหรอกเธอจะบอกว่าทุกๆอย่างเหมือนๆกันหมด เพราะมันมืด .. เธอจะมองเห็นมันชัดเจนได้อย่างไรเล่าแต่ถ้าหากเธออยู่ในที่ที่สว่างมาตลอดแล้ววันนึงเธอต้องมาพบเจอกับความมืดม่านตาของเธอจะให้เวลาในการปรับตัวเล็กน้อยเธออาจจะมองไม่เห็นอะไรๆไปซักพักแต่พอสายตาของเธอปรับตัวได้ ... เธอจะเริ่มเห็นว่าในความมืดแท้ที่จริงแล้วมันก็มีแสงสว่างอยู่เธอจะค่อยๆมองเห็นอะไรๆชัดเจนขึ้นและฉันก็อยากจะบอกกับเธอว่า"อย่ามองแต่ความมืด"ฉันอยากให้เธอมองในที่สว่างบ้างไม่มีที่ไหนที่จะมืดได้ตลอดเวลา


#################################
การรับรู้และการตีความหมายของเธอแตกต่างจากฉันในบางสิ่งฉันรับรู้ แต่เธอไม่รับรู้ ในบางสิ่ง ฉันเข้าใจ แต่เธอไม่เคยเข้าใจ"เราไม่ได้เหมือนกันทุกอย่างเพราะเราไม่ใช่นิ้วเดียวกัน แต่เราเป็นนิ้วที่อยู่ใกล้ๆ กันต่างหาก"ในบางครั้งฉันผิด ฉันยอมรับในบางครั้ง ฉันไม่รู้ว่าฉันผิดอะไรแต่ฉันก็ยังยอมรับ...ผิดของอีกคน อาจถูกสำหรับอีกคนถูกของอีกคน อาจผิดสำหรับอีกคนแต่ที่ฉันยอมรับว่าผิด...ทั้งๆที่ไม่ได้ผิดนั่นเป็นเพราะ ... ฉันรักเธอไง


วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

+ นิยามรัก +

นิยามความรัก 24 ข้อ
1.การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มี ความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2.พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่...ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่านประทานมา
3.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคน แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และ ความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4.สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลัง ว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป 5.เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอเรา 6.เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7.เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีก เช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา 8.การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา
9.มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10.อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้วถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้
11.ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12.การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13.อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันจะไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14.มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน เพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15.ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ
16.ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณแข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความ หวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข
17.เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
18.คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาลเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้ 19.จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่าเขาเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในพวกเขา
20.คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขา มีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
21.ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่าของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา
22.ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา
23.อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดีถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวาง ความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
24.คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้มในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine's Day **


Valentine's Day or Saint Valentine's Day is a holiday celebrated on February 14 by many people throughout the world. In the West, it is the traditional day on which lovers express their love for each other by sending Valentine's cards, presenting flowers, or offering confectionery. The holiday is named after two among the numerous Early Christian martyrs named Valentine. The day became associated with romantic love in the circle of Geoffrey Chaucer in the High Middle Ages, when the tradition of courtly love flourished.
The day is most closely associated with the mutual exchange of love notes in the form of "valentines". Modern Valentine symbols include the heart-shaped outline, doves, and the figure of the winged Cupid. Since the 19th century, handwritten notes have largely given way to mass-produced greeting cards. The sending of Valentines was a fashion in nineteenth-century Great Britain, and, in 1847, Esther Howland developed a successful business in her Worcester, Massachusetts home with hand-made Valentine cards based on British models. The popularity of Valentine cards in 19th century America was a harbinger of the future commercialization of holidays in the United States.
The U.S. Greeting Card Association estimates that approximately one billion valentines are sent each year worldwide, making the day the second largest card-sending holiday of the year, behind Christmas. The association estimates that, in the US, men spend on average twice as much money as women.




วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

.- MARS -.






Mars is the fourth planet from the Sun in the Solar System. The planet is named after Mars, the Roman god of war. It is also referred to as the "Red Planet" because of its reddish appearance, due to iron oxide prevalent on its surface.
Mars is a
terrestrial planet with a thin atmosphere, having surface features reminiscent both of the impact craters of the Moon and the volcanoes, valleys, deserts and polar ice caps of Earth. It is the site of Olympus Mons, the highest known mountain in the Solar System, and of Valles Marineris, the largest canyon. Furthermore, in June 2008 three articles published in Nature presented evidence of an enormous impact crater in Mars' northern hemisphere, 10 600 km long by 8 500 km wide, or roughly four times larger than the largest impact crater yet discovered, the South Pole-Aitken basin. In addition to its geographical features, Mars’ rotational period and seasonal cycles are likewise similar to those of Earth.
Until the first flyby of Mars by
Mariner 4 in 1965, many speculated that there might be liquid water on the planet's surface. This was based on observations of periodic variations in light and dark patches, particularly in the polar latitudes, which looked like seas and continents, while long, dark striations were interpreted by some observers as irrigation channels for liquid water. These straight line features were later proven not to exist and were instead explained as optical illusions. Still, of all the planets in the Solar System other than Earth, Mars is the most likely to harbor liquid water, and perhaps life. Radar data from Mars Express and the Mars Reconnaissance Orbiter have revealed the presence of large quantities of water ice both at the poles (July 2005) and at mid-latitudes (November 2008). The Phoenix Mars Lander directly sampled water ice in shallow martian soil on July 31, 2008.
Mars is currently host to three functional orbiting
spacecraft: Mars Odyssey, Mars Express, and the Mars Reconnaissance Orbiter. With the exception of Earth, this is more than any planet in the Solar System. The surface is also home to the two Mars Exploration Rovers (Spirit and Opportunity) and several inert landers and rovers, both successful and unsuccessful. The Phoenix lander recently completed its mission on the surface. Geological evidence gathered by these and preceding missions suggests that Mars previously had large-scale water coverage, while observations also indicate that small geyser-like water flows have occurred during the past decade. Observations by NASA's Mars Global Surveyor show evidence that parts of the southern polar ice cap have been receding.
Mars has two
moons, Phobos and Deimos, which are small and irregularly shaped. These may be captured asteroids, similar to 5261 Eureka, a Martian Trojan asteroid. Mars can be seen from Earth with the naked eye. Its apparent magnitude reaches −2.9, a brightness surpassed only by Venus, the Moon, and the Sun, though most of the time Jupiter will appear brighter to the naked eye than Mars.








วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

+ Pétanque +





La pétanque est un jeu de boules dérivé du jeu provençal. C'est le sixième sport en France par le nombre de licenciés — 362 898 joueurs recensés (fin 2007) ; il existe de nombreuses fédérations nationales affiliées à la fédération internationale. Fin 2007, on compte 558 898 licenciés répartis dans 78 pays, de l'Algérie au Vietnam. À ces chiffres, il convient de rajouter les pratiquants occasionnels, en vacances notamment, c'est-à-dire plusieurs millions d'amateurs.
C'est un sport principalement masculin (seulement 14 % des licenciés sont des femmes en France). Néanmoins, c'est l'un des rares sports où des compétitions mixtes sont organisées.

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

+ LE FEU +


Le feu est la production d'une flamme par une réaction chimique exothermique d'oxydation appelée combustion.
De manière générale, le terme « feu » désigne souvent un phénomène produisant de la lumière et / ou de la chaleur, qu'il provienne d'une combustion ou non.